06-06-2025
การใช้งานลวด PC Wire ในระบบ Post-tension vs Pre-tension ต่างกันอย่างไร? ลวด PC Wire หรือ Prestressed Concrete Wire เป็นวัสดุสำคัญในการเสริมแรงให้กับคอนกรีตอัดแรง (Prestressed Concrete) ซึ่งมีการใช้งานอยู่ใน 2 ระบบหลัก คือ Pre-tension และ Post-tension แม้จะใช้วัสดุคล้ายกัน แต่กระบวนการใช้งานและจุดเด่นของแต่ละระบบแตกต่างกัน Pre-tension (ก่อนเทคอนกรีต) ในระบบนี้ ลวด PC Wire จะถูกดึงให้ตึงก่อนที่คอนกรีตจะถูกเทลงในแบบพิมพ์ เมื่อลวดถูกดึงถึงแรงที่ต้องการแล้ว จะมีการเทคอนกรีตทับลงไป หลังจากคอนกรีตแข็งตัวจึงปลดแรงดึง ลวดจะพยายามคืนตัว ทำให้เกิดแรงอัดในเนื้อคอนกรีต เหมาะกับ: โรงงานผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูป เช่น แผ่นพื้น พื้น Hollow core คานคอนกรีต ข้อดี: ควบคุมคุณภาพได้ง่ายเพราะทำในโรงงาน ข้อจำกัด: ต้องใช้แบบหล่อขนาดใหญ่ และขนส่งชิ้นส่วนไปหน้างาน Post-tension (หลังเทคอนกรีต) ระบบนี้จะวางท่อลวด (Duct) ไว้ล่วงหน้าในแบบหล่อ แล้วเทคอนกรีต เมื่อตัวโครงสร้างแข็งแรงเพียงพอ จะทำการสอดลวด PC Wire ผ่านท่อ จากนั้นดึงลวดให้ตึงและยึดปลายลวดไว้ แล้วจึงอัดน้ำปูน (Grout) เข้าไปในท่อเพื่อป้องกันสนิมและยึดลวดกับคอนกรีต เหมาะกับ: โครงการขนาดใหญ่ เช่น อาคารสูง สะพาน พื้นไร้คาน ข้อดี: ประหยัดวัสดุ มีอิสระในการออกแบบมากขึ้น โครงสร้างบางลง ข้อจำกัด: ต้องการความชำนาญสูง และต้องมีการควบคุมหน้างานอย่างละเอียด *ทั้งสองระบบต่างมีข้อดีและข้อจำกัด การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับประเภทของโครงการ งบประมาณ และความต้องการด้านวิศวกรรม ที่ SIW มีผลิตลวด PC Wire คุณภาพสูงสำหรับงานคอนกรีตอัดแรงทั้งระบบ pre-tension และ post-tension รับรองคุณภาพด้วยมาตรฐาน มอก. กว่า 70+ ประเทศทั่วโลก #SIW #PCwire #posttension #pretension
01-07-2025
ในงานวิศวกรรม วัสดุที่แข็งแรง ไม่ได้แปลว่าทนทาน สิ่งที่ท้าทายกว่าแรงดึง คือ “แรงซ้ำ” หรือที่เรียกว่า Fatigue Fatigue คืออะไร? Fatigue (ฟาทีค) คือ ความล้าของวัสดุที่เกิดจากแรงกระทำซ้ำ ๆ เช่น ลวดเหล็กที่ใช้ในคอนกรีตอัดแรง เสาเข็ม หรือสะพาน แม้แรงแต่ละครั้งอาจไม่ถึงจุดที่ทำให้หักทันที แต่เมื่อเกิดขึ้นซ้ำ ๆ หลายหมื่น หลายแสนครั้ง วัสดุก็จะเริ่ม “ล้า” จนเสียหายโดยไม่เตือนล่วงหน้า ตัวอย่างความเสียหายที่เกิดจาก Fatigue -ลวดในสะพานขาด หลังจากใช้งานไม่กี่ปี -โครงสร้างถล่ม เพราะรับแรงสั่นสะเทือนต่อเนื่อง -ความเสียหายที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทำไมต้องทดสอบ Fatigue ที่ SIW-Testing Service Center? 1. ได้มาตรฐานระดับโลก SIW เป็นห้องแล็บทดสอบลวดแห่งเดียวในไทยที่ ได้รับการรับรอง การทดสอบ Fatigue จาก NATA – หน่วยงานรับรองแล็บจากออสเตรเลีย มั่นใจได้ว่าเครื่องมือ แม่นยำ และกระบวนการเป็นไปตามมาตรฐานสากล 2. ทดสอบได้จริง ไม่ใช่แค่ทฤษฎี เราจำลองแรงกระทำซ้ำๆ เพื่อดูว่า ลวดของคุณทนได้กี่รอบก่อนเกิดความเสียหาย พร้อมรายงานผลแบบละเอียด กราฟชัดเจน ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย และ วิเคราะห์โดยผู้เชี่ยวชาญ 3. รองรับงานก่อสร้างระดับประเทศ SIW เป็นเบื้องหลังของโครงการโครงสร้างขนาดใหญ่ ทั้งทางด่วน สะพาน และระบบราง ที่ต้องการลวดคุณภาพสูง Fatigue Test คือขั้นตอนสำคัญก่อนลวดจะถูกใช้งานจริง
26-05-2025
PC Strand เกรดพิเศษทนแรงแผ่นดินไหว — "มาตรฐานความปลอดภัยสำหรับชีวิต ที่มากไปกว่าความแข็งแรง" ในสถานการณ์แผ่นดินไหว วินาทีที่โครงสร้างเริ่มเสียหายอาจเป็นตัวแปรที่ตัดสินความเป็นความตาย การออกแบบโครงสร้างให้สามารถ"ถ่วงเวลา"การวิบัติ (Collapse) ได้จึงเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้มีเวลาเพียงพอในการอพยพออกจากสิ่งก่อสร้างได้อย่างปลอดภัย ที่สยามลวดเหล็กฯ (#SIW) เราให้ความสำคัญกับทุกคุณสมบัติทางกลของลวด PC Strand ซึ่งจำเป็นในฐานะองค์ประกอบที่สำคัญส่วนหนึ่งของงานออกแบบทางวิศวกรรมโยธา โดยสินค้าพิเศษทนแรงแผ่นดินไหวของ SIW จะมีค่า Force Ratio ที่สูงกว่ามาตรฐานทั่วไป - ค่า Force Ratio (อัตราส่วนระหว่างการรับแรงดึงขาด/ Breaking Load กับการรับแรงดึงจุดคราก/ Yield Load) ที่สูงกว่ามาตรฐานทั่วไปของ SIW PC Strand หมายถึงวัสดุจะยังไม่ล้มเหลว (Failure) ทันทีเมื่อผ่านจุดคราก - ซึ่งช่วยเพิ่มระยะเวลาที่โครงสร้างจะทนแรงสั่นสะเทือนได้นานขึ้น ช่วย "ถ่วงเวลา"การวิบัติ (Collapse) ของโครงสร้างได้ ทำให้มีเวลาเพียงพอในการอพยพออกจากสิ่งก่อสร้างได้อย่างปลอดภัย - นอกจากนั้นการยืดตัว/ การเปลี่ยนรูป แบบถาวร (Plastic Deformation) ที่มากขึ้นจากค่า Force Ratio ที่สูงของ SIW PC Strand ทำให้สามารถนำไปใช้ออกแบบโครงสร้างแบบ Plasticity ซึ่งเน้นคุณสมบัติความยืดหยุ่น (Ductile Behavior) - และเมื่อมีแรงสั่นสะเทือนจะทำให้เกิดการแตกร้าวที่รุนแรงและชัดเจน (Serious Cracking)ให้เห็นก่อนโครงสร้างจะเกิดการวิบัติ (Collapse) เป็นสัญญานเตือนให้สามารถแก้ไขป้องกันหรือให้หลบหนีได้ทันท่วงที - และยังลดโอกาสของการถล่มแบบฉับพลัน (Abrupt Collapsing) เนื่องจากการออกแบบด้วยทฤษฎี Plasticity จะช่วยลดโอกาสที่คอนกรีตจะล้มเหลว อันนำไปสู่การพังทลายแบบฉับพลัน (Nature Abrupt) เพิ่มโอกาสในการหลบหนีออกจากอาคารที่กำลังเสียหายช่วยลดความสูญเสีย SIW มีการผลิตและจำหน่าย PC Strand เกรดพิเศษ ที่มีค่า Force Ratio ที่สูงกว่ามาตรฐานทั่วไปไปยังประเทศ Denmark ตามมาตรฐาน FprEN 10138-1&-3:2009 โดยมี มอก. FI Marking ของประเทศ Denmark รับรอง ที่ SIW เราตระหนักถึงผลกระทบจากภัยธรรมชาติและคุณค่าของทุกชีวิต SIW จึงไม่หยุดแค่สินค้าที่ได้มาตรฐานเท่านั้น แต่ยังพัฒนาสินค้าที่สร้างความมั่นใจและดูแลทุกชีวิตให้ปลอดภัย
05-07-2023
เสาเข็มควรเจาะลึกแค่ไหน? บ้านจึงปลอดภัยเสาเข็มเป็นส่วนสำคัญที่ใช้ในการรับน้ำหนักและถ่ายน้ำหนักของอาคารไปชั้นดิน การถ่ายน้ำหนักของเสาเข็มนั้นเกิดขึ้นระหว่างแรงเสียดทานระหว่างดินกับพื้นผิวของเสาเข็ม หรือโดยการถ่ายแรงโดยตรงไปยังชั้นดินหรือหินแข็ง วัตถุประสงค์หลักของการใช้เสาเข็มคือป้องกันอาคารหรือบ้านให้มีเสถียรภาพหรือทรุดลงในดินเสาเข็มที่ใช้ในอาคารขนาดเล็กจะเป็นเสาเข็มที่มีความยาวไม่มากและจำนวนไม่มาก แต่ในอาคารขนาดใหญ่ก็จะใช้เสาเข็มจำนวนมากขึ้นหรือเสาเข็มที่ยาวมากขึ้นเพื่อให้สามารถถ่ายน้ำหนักลงไปยังชั้นดินที่ลึกและรับน้ำหนักแบกทานได้มากขึ้น ถ้าเสาเข็มยาวถึงระดับชั้นดินแข็ง เสาเข็มจะสามารถรับน้ำหนักจากอาคารและถ่ายลงสู่ชั้นดินแข็งโดยตรง เสาเข็ม สามารถรับน้ำหนักได้อย่างไรเสาเข็มรับน้ำหนักที่กดทับได้ด้วยแรง 2 ชนิดหลักๆ คือ “แรงเสียดทานที่ผิวของเสาเข็ม (Skin friction)”และ “แรงต้านที่ปลายเสาเข็ม (End Bearing)”1. แรงเสียดทานที่ผิวของเสาเข็ม (Skin Friction) แรงต้านที่เกิดจากแรงเสียดทานระหว่างผิวของเสาเข็มกับดินโดยรอบ ซึ่งแรงที่เกิดขึ้นนี้จะมาก หรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับชนิดของดินแต่ละชนิด (ดินแต่ละชนิดจะมีสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานผิวต่างกัน) และลักษณะผิวของเสาเข็มแต่ละประเภท2. แรงต้านจากชั้นดินแข็ง (End Bearing คือ แรงต้านที่เกิดขึ้นบริเวณปลายเสาเข็ม ซึ่งแรงนี้เกิดจากดินที่มารองรับที่ปลาเสาเข็ม แรงนี้จะมีปริมาณมาก หรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับชนิดของดินเช่นกันดินที่มีช่องว่างระหว่างเนื้อดินมาก (Void) ก็จะมีความสามารถในการับน้ำหนักน้อย (ดินทรุดตัวเมื่อมีน้ำหนักมากระทำ)โดยคุณสมบัติเฉพาะของดินแต่ละชนิด ส่งผลให้มีช่องว่างระหว่างเนื้อดินไม่เหมือนกัน ดินเหนียวจะมีช่องว่างระหว่างเนื้อดินมาก (ดินหลวม)จึงรับน้ำหนักได้น้อย แต่ทรายละเอียดจะมีช่องว่างระหว่างอนุภาคน้อย (ดินอัดแน่น) จึงรับน้ำหนักได้มาก ในการออกแบบเสาเข็มโดยทั่วไปนั้นหากเป็นเสาเข็มแบบ Skin friction pile จะไม่คำนึงว่าปลายเสาเข็มอยู่ที่ชั้นดินประเภทไหน แต่จะให้ความสำคัญเรื่องขนาดและความยาวเสาเข็มที่เพียงพอจะทำให้เกิดแรงฝืดรอบผิวเสาเข็มเพื่อรับน้ำหนักที่กระทำเสาเข็มแบบ End bearing pileออกแบบให้เสาเข็มมีขนาดและความยาวที่ให้ปลายเสาเข็มนั่งอยู่บนชั้นทรายอัดแน่น ประเภทของเสาเข็มที่ใช้ในการสร้างบ้านและอาคารสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ตามลักษณะการผลิตและการใช้งานดังนี้:1. เสาเข็มสปัน (เสาเข็มกลมแรงเหวี่ยงอัดแรง): เป็นเสาเข็มที่ผลิตโดยการปั่นคอนกรีตในแบบหล่อซึ่งหมุนด้วยความเร็วสูง ทำให้เนื้อคอนกรีตมีความหนาแน่นสูงและแข็งแกร่ง โดยมีโครงสร้างลวดเหล็กที่อัดแรงฝังอยู่ในเนื้อคอนกรีต เสาเข็มสปันสามารถตอกหรือเจาะได้หลายแบบ ช่วยลดการสั่นสะเทือนเวลาตอกและลดแรงดันของดินในขณะตอก มีขนาดและความยาวหลากหลาย เหมาะสำหรับใช้เป็นฐานรากของอาคารสูงที่ต้องการความแข็งแกร่งเพื่อป้องกันปัญหาลมแรงและแผ่นดินไหว2. เสาเข็มเจาะ: เสาเข็มเจาะใช้กรรมวิธีที่ยุ่งยากและซับซ้อนกว่าเสาเข็มสปัน โดยต้องเจาะดินและใส่เหล็กเสริมและคอนกรีตในสถานที่ที่จะใช้งานจริง มีความยาวและขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตามที่กำหนด ใช้สำหรับงานที่ต้องการความแข็งแกร่งสูง3. เสาเข็มคอนกรีตอัดแรง: เสาเข็มคอนกรีตอัดแรงผลิตโดยวางคอนกรีตเข้าไปในแม่พิมพ์ที่มีลวดเหล็ก PC Wire เสริมฝังอยู่ จากนั้นคอนกรีตจะถูกอัดแรงเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง เสาเข็มคอนกรีตอัดแรงใช้ในงานสร้างที่ต้องการความแข็งแกร่งและความทนทานต่อสภาพแวดล้อม และทางสยามลวดเอง ก็มี PC WIRE มอก. 95-2540 และ PC STRAND มอก. 420-2540 ที่ใช้เป็นหัวใจหลักของการผลิตเสาเข็มคอนกรีตอัดแรง ที่ได้รับการยอมรับ กว่า 50 ประเทศทั่วโลก รวมไปถึงบริการหลังการขายให้กับลูกค้าฟรี เช่น การเข้าไปสอบเทียบเครื่องดึงลวดให้ถึงหน้างานโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อลูกค้ามั่นใจในการใช้งานลวดอัดแรงของ สยามลวดเหล็กฯPC Wire: https://www.siw.co.th/th/product-detail/pc-wirePC Strand: https://www.siw.co.th/th/product-detail/pc-strand
17-02-2023
ในงานก่อสร้างบ้านจัดสรรหรือคอนโดในปัจจุบันส่วนใหญ่เริ่มหันมาใช้ผนังคอนกรีตสำเร็จรูป Precast Concrete กันอย่างแพร่หลายแทนการก่อสร้างแบบผนังอิฐเดิมๆ โดยเฉพาะในงานก่อสร้างหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่ต้องมีบ้านลักษณะคล้ายกันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากสามารถช่วยประหยัดต้นทุนทรัพยากรในหลายด้าน เช่น เวลาและกำลังคน อีกทั้งยังสามารถควบคุมมาตรฐานได้ดีกว่าการก่อสร้างแบบก่ออิฐ และวันนี้สยามลวดเหล็กฯ จะพาไปดูกันโดยละเอียดว่าเพราะเหตุใดผนังคอนกรีตสำเร็จรูปจึงเป็นที่นิยมในหมู่นักก่อสร้าง และผู้อยู่อาศัยควรปฏิบัติอย่างไรในการใช้บ้านที่สร้างจากผนังคอนกรีตสำเร็จรูป Precast Concrete ผนังคอนกรีตสำเร็จรูป (Precast Concrete) คือ? ผนังคอนกรีตสำเร็จรูป หรือ Precast Concrete คือชิ้นส่วนผนังบ้านหรือผนังคอนโดซึ่งจะมีการถูกหล่อขึ้นภายในโรงงานสำเร็จไว้แล้วก่อนที่จะขนย้ายเพื่อนำไปติดตั้งหน้างาน ซึ่งจะแตกต่างจากผนังอิฐฉาบปูนที่จะถูกหล่อขึ้นหน้างานโดยช่างผู้รับเหมาก่อสร้าง โดยผนังคอนกรีตสำเร็จรูป Precast Concrete จะมีส่วนประกอบหลักคือ เนื้อคอนกรีตและเสริมความแข็งแรงด้วยลวดตะแกรง Wire Mesh หรือ Cold Drawn ข้อดีของผนังคอนกรีตสำเร็จรูป Precast Concrete 1. ประหยัดเวลาในการก่อสร้าง เพราะสามารถหล่อผนังคอนกรีตสำเร็จรูปเตรียมไว้ในโรงงานในระหว่างประกอบฐานรากได้เลยและจึงนำมาเชื่อมประกอบหน้างาน ต่างจากผนังอิฐที่ต้องเริ่มก่อหลังจากประกอบฐานรากเสร็จแล้วเท่านั้น 2. คุณภาพได้มาตรฐานเดียวกัน เพราะมีการหล่อสำเร็จมาจากโรงงานจึงไม่ขึ้นอยู่กับฝีมือของช่างและสภาพอากาศหน้างาน 3. ใช้จำนวนแรงงานคนน้อยกว่าผนังอิฐมาก เพราะทุกชิ้นส่วนถูกหล่อสำเร็จขึ้นจากโรงงานแล้ว จึงสามารถนำมาวางติดเป็นตัวบ้านได้เลย 4. มีความแข็งแรงสูงจึงใช้แทนเสาหรือคานในการรับน้ำหนักได้ เพราะโครงสร้างประกอบด้วยคอนกรีต และยังเสริมแรงด้วยลวดตะแกรง Wire Mesh หรือ Cold Drawn และสยามลวดเหล็กฯ ก็มีจำหน่ายลวดตะแกรง Wire Mesh และ Cold Drawn ตั้งแต่ 4 มม. - 12 มม. พร้อมสำหรับนำไปใช้ประกอบผนังคอนกรีตสำเร็จรูป Precast Concrete และได้มาตรฐาน มอก. จึงมั่นใจได้เรื่องความแข็งแรง รายละเอียดสินค้า: https://www.siw.co.th/en/product-detail/wire-mesh ข้อสังเกต 1. ผนังคอนกรีตสำเร็จรูป Precast Concrete จะไม่พบปัญหารอยแตกร้าวเนื่องจากชิ้นส่วนถูกหล่อขึ้นเป็นชิ้นเดียวกัน แต่อาจพบปัญหาน้ำรั่วซึมตามขอบรอยต่อผนังได้หากการเชื่อมติดไม่แน่นหนาพอ 2. การเจาะทุบผนังออกต้องได้รับคำแนะนำจากวิศวกรหากผนังชิ้นนั้นมีส่วนในการรับน้ำหนักของตัวโครงสร้าง
16-12-2024
เทรนด์การก่อสร้างที่น่าจับตามอง ในปี 2025 เทรนด์การก่อสร้างในปัจจุบันไม่ได้เพียงแค่เน้นการพัฒนาโครงสร้างที่ทันสมัยและแข็งแรงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการนำพลังงานสะอาดและพลังงานทางเลือกมาใช้เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน การก่อสร้างอย่างยั่งยืน (Sustainable Construction) ในปัจจุบัน แนวคิดการก่อสร้างอย่างยั่งยืน (Sustainable Construction) กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในอุตสาหกรรมก่อสร้าง เนื่องจากสอดคล้องกับหลักการ ESG ที่มุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น • การใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม • เทคนิคการลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมก่อสร้าง • การจัดการของเสียด้วยการคัดแยกและจัดการเศษวัสดุอย่างมีประสิทธิภาพ แนวคิดนี้ไม่เพียงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร เพื่อสร้างโครงสร้างที่ตอบสนองความต้องการของปัจจุบันโดยไม่กระทบต่อทรัพยากรในอนาคต เทคโนโลยีดิจิทัลในงานก่อสร้าง (Digital Technology in Construction) เทคโนโลยีดิจิทัลกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่เปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานในอุตสาหกรรมก่อสร้างให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากขึ้น ตัวอย่างเช่น • IoT (Internet of Things): อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเพื่อเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ เช่น การตรวจสอบความปลอดภัยในไซต์งาน • AI (Artificial Intelligence): ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น การประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัย • ระบบ BIM กับการออกแบบโครงสร้างอย่างแม่นยำ: ช่วยออกแบบโครงสร้างและจัดการโครงการอย่างแม่นยำ ลดการสิ้นเปลืองวัสดุและข้อผิดพลาดในการก่อสร้าง นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี เช่น โดรนสำรวจพื้นที่แบบ 3 มิติ และ AR/VR สำหรับการออกแบบเสมือนจริง ซึ่งช่วยลดต้นทุนและระยะเวลาการก่อสร้าง เพิ่มความปลอดภัย และช่วยในการตัดสินใจที่แม่นยำยิ่งขึ้น การใช้พลังงานสะอาด (Clean Energy) แนวโน้มการใช้พลังงานสะอาดในอุตสาหกรรมก่อสร้างกำลังเติบโต โดยเฉพาะในโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่น • หลังคาพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Roofs) : ช่วยลดค่าใช้จ่ายพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก • พลังงานจากลม (Wind Energy) : ใช้พลังงานลมเพื่อลดการพึ่งพาไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล การใช้พลังงานสะอาดไม่เพียงลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยลดต้นทุนพลังงานและสร้างโครงสร้างที่ยั่งยืน ตอบโจทย์ความต้องการในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพ การผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูปในโรงงาน (Prefabrication) การผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูปในโรงงานเป็นอีกหนึ่งเทรนด์สำคัญ โดยมีการออกแบบและผลิตองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น ผนังสำเร็จรูป แผ่นพื้น เสา และหลังคา ในโรงงานที่มีการควบคุมคุณภาพ ก่อนนำไปประกอบในไซต์งานจริง วิธีนี้ช่วยเร่งความเร็วในการก่อสร้างและลดความยุ่งยากในไซต์งาน ปัจจุบัน SIW ก็ให้ความสำคัญกับเทรนด์การก่อสร้างที่สำคัญมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการนำ AI มาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การใช้พลังงานสะอาดอย่างพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Power) หรือการสนับสนุนการก่อสร้างอย่างยั่งยืนผ่านการใช้วัตถุดิบรีไซเคิลจากเทคโนโลยี EAF นอกจากนี้ SIW ยังได้รับการรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรมสีเขียวระดับที่ 4 (Green Industry Level 4) และกำลังดำเนินแผนสู่เป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050 เพื่อสนับสนุนความยั่งยืนในทุกมิติของอุตสาหกรรมก่อสร้าง
15-05-2025
“ผนังร้าวจากแผ่นดินไหวยังไม่พอ…ฝนตกยิ่งน้ำรั่วซึม” หลายพื้นที่เพิ่งเจอแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว แล้วก็เริ่มพบว่า “ผนังรั่วซึม” เมื่อฝนตกตามมา หากเจอแบบนี้ อย่าเพิ่งตกใจ เราขอแนะนำวิธีแก้เร่งด่วนเบื้องต้นที่คุณทำได้เอง: 1. หาต้นตอรอยร้าว – ส่องให้ดีว่ารั่วมาจุดไหน แนวร้าวแนวตั้ง/เฉียง หรือแค่ผิวปูน 2. ทำความสะอาดรอยร้าว – ใช้แปรงหรือผ้าชุบน้ำ เช็ดคราบฝุ่นและสิ่งสกปรก 3. อุดด้วยซิลิโคนหรือซีเมนต์กันซึม – แบบสำเร็จรูป หาซื้อได้ตามร้านวัสดุก่อสร้าง ใช้งานง่าย 4. ปิดทับด้วยเทปกันซึม/ฟิล์มกันน้ำ (ชั่วคราว) – ถ้าไม่มีเวลา ให้ปิดกันน้ำเข้าไว้ก่อน 5. หลีกเลี่ยงการทาสีหรือฉาบทับทันที – เพราะจะดักความชื้นไว้ ทำให้เชื้อราขึ้นง่าย แต่ทั้งหมดนี้เป็นแค่ “มาตรการชั่วคราว” เพื่อรอให้โครงสร้างนิ่งแล้วค่อยซ่อมถาวร โดยอาจต้องปรึกษาวิศวกรหรือตรวจสอบความปลอดภัยของโครงสร้างก่อน อย่าปล่อยให้รอยร้าวกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต **ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับขนาดรอยร้าว #รอยรั่วหลังแผ่นดินไหว #บ้านรั่วทำไงดี #กันซึมDIY #วิธีแก้น้ำซึมเร่งด่วน #ปลอดภัยไว้ก่อน
เรามุ่งมั่นที่จะเป็นเลิศในด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมอย่างไม่หยุดยั้ง และเรายังมุ่งเน้นบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง เพื่อให้คุณได้รับประสบการณ์พิเศษเหนือความคาดหมาย